เทศน์เช้า

ปัญญาอีกมิติหนึ่ง

๒๓ มิ.ย. ๒๕๔๔

 

ปัญญาอีกมิติหนึ่ง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ความเห็นฝ่ายของคนน่ะ คนคิดได้อย่างนั้น นี่ความคิดของโลกไง เราคิดหน้าเดียว คิดอะไรนี่วิทยาศาสตร์คิดตรง ๆ เข้าไปอย่างนั้น คิดตรง ๆ เข้าไปเหมือนผลไม้ไง ผลไม้นี่มีเปลือกของผลไม้ เรามองที่เปลือกผลไม้ เรามองอย่างไรเราก็เห็นแค่เปลือกผลไม้ เราไม่สามารถมองเห็นเนื้อในของผลไม้ได้ ยกเว้นแกะผลไม้ออกไป แต่ถ้าแกะผลไม้ออก เราแกะผลไม้ปั๊บ เปลือกของผลไม้เป็นเปลือก แล้วเนื้อของผลไม้เป็นเนื้อของผลไม้ เราจะเห็นมันถ้าเราแกะมัน แต่นี้เราไม่ได้แกะ แล้วเราเพ่งมองอยู่ เราจะเห็นเปลือกผลไม้ เราจะไม่เห็นเนื้อผลไม้เลย เพ่งอย่างไรก็เห็นอย่างนั้น

อันนี้ก็เหมือนกัน หมอที่เขาดูกายที่เขาเห็นกายนี่ เขามองไปเขาเห็นเปลือกผลไม้ แต่เขาไม่เห็นเนื้อผลไม้หรอก เพราะมันเป็นสมมุติไปตลอด มันเป็นความเห็นของคนละมิติ แต่ในศาสนานี้สอนให้เรื่องของใจเป็นผู้ที่เห็น นี้เรื่องของใจเป็นผู้ที่เห็นมันต้องทำความสงบเข้ามาก่อน ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน แล้วพอใจสงบขึ้นมาแล้วนี่พยายามน้อมไปให้เห็นกาย นี่มันเห็นกันคนละมิติ

แต่ถ้าเราคิดว่าเราจะมองให้เห็นทางวิทยาศาสตร์ มันมองอย่างนั้น ๆ นี่คนไม่เคยเห็นตรงนี้ มันถึงแบ่งตรงนี้ไม่ออกไง มันถึงแบ่งโลกียะกับโลกุตตระไม่ออก ถ้าคนแบ่งโลกียะโลกุตตระออกมันจะเห็นตรงนี้ เห็นว่าถ้ามองธรรมดานี่ ขนาดเรานึกเอาขนาดไหนก็แล้วแต่นะ ให้นึกเป็นภาพขึ้นมา เป็นนิมิตขึ้นมา มันก็ยังเป็นแบบโลกียะ เป็นแบบวิทยาศาสตร์ เป็นการเห็นผลไม้อยู่ตลอดเวลา เป็นการเห็นเปลือกผลไม้ ไม่เห็นเนื้อของผลไม้

แต่เนื้อของผลไม้เปลือกผลไม้นี่ เราเปรียบเทียบเหมือนการแกะ พอการแกะเรามีการแกะใช่ไหม ไอ้การแกะนี่ผลไม้มันเป็นรูปธรรม มันจับต้องมันแกะได้ แต่เรื่องของกายมันเป็นเรื่องของนามธรรม มันจะไปแกะตรงไหนล่ะ? มันเห็น มันมองเข้าไป มันก็เห็นแต่เปลือก ๆ เห็นแต่เปลือกนี่เป็นโลกียะทั้งหมดเลย เห็นแต่ร่างกาย เห็นแต่ความคิด ถ้าเห็นร่างกายนี่เห็นโลก เห็นโลกมองเห็นเท่าไหร่นี่มันจะเกิดความกำหนัดยินดี มันจะไม่เกิดการวิราคะหรอก มันจะไม่เกิดวิราคะ เพราะมันเห็นตามกิเลสพาเห็น

นี่เห็นตามโลกอย่างหนึ่ง แล้วกิเลสอยู่ในความคิดของเราพาเห็นอีกอย่างหนึ่ง พอกิเลสพาคิดพาเห็นนี่ ไฟขั้วบวกขั้วลบมันช็อตกันน่ะมันจะช็อตไปตลอดเวลาเลย แล้วเราก็พยายามจะเพ่งให้เข้าไปอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่าถ้าเราไปเจอสิ่งที่ว่ามันสลดสังเวช คือว่าคนเจ็บคนป่วยหนัก ๆ ขึ้นมาหรือว่าเห็นซากศพ อย่างนั้นน่ะมันสลดเข้ามา

อันนี้มันเป็นเหมือนกับมันจะปอกเปลือกผลไม้ ถ้าปอกเปลือกผลไม้นี่จิตมันสงบเข้าไป ทำความสงบสำคัญที่ทำความสงบนี้มาก ถ้าจิตไม่สงบ แล้วสงบเข้าไปนี่เห็นน่ะมันเป็นนิมิต ความเห็นเป็นนิมิตนี่มันเห็นเป็นนามธรรม แล้วมันจะไปเบื่อหน่ายได้อย่างไร ความเห็นด้วยตาเนื้อนี่ ตาเนื้อเห็นร่างกายมันควรจะเป็นความเบื่อหน่าย เพราะมันเห็นภาพชัดเจน

นี่ความคิดของโลก ความคิดของโลกว่าเห็นชัดเจน เห็นแล้วจับต้องได้นี่มันเห็นเป็นความจริง ถ้าเห็นเป็นนิมิตมันจะเห็นเป็นนามธรรม มันจะจับต้องไม่ได้ มันไม่ได้คิดหรอก เห็นไหม เนื้อผลไม้เวลาแกะออกมานี่ มันจะดำ มันจะช้ำ ถ้าผลไม้มีเปลือกปิดอยู่ มันจะเก็บไว้ได้นาน

นี่ก็เหมือนกัน ร่างกายมันปกปิดไว้ด้วยร่างกายนี่มันไม่เห็นนามธรรม ความเห็นนามธรรมคือเห็นเนื้อของมัน เห็นเนื้อของผลไม้คือเห็นอาการของใจ เห็นอาการที่ใจนี้ไปติดเข้า ถ้าเห็นใจนี้ไปติดเข้านี่ มันวิปัสสนาตรงนั้นได้ ตรงนั้นต่างหากถึงเป็นวิปัสสนา ตรงนั้นต่างหากถึงเป็นโลกุตตระ ถ้าเป็นโลกุตตระมันจะเห็นตามความเป็นจริง แต่เพราะเราทำเข้าไปไม่ถึง เราทำของเราไม่ได้ เราคิดของเราไม่เป็น เราถึงว่าเอาความเห็นของเราเข้าไปเทียบไง

นี่ที่อาจารย์มหาบัวท่านเทศน์ประจำ อยู่ที่วัดกับท่านท่านยังบอกเลย “คนอวดฉลาด” คนที่ว่าฉลาด ๆ น่ะ คนนั้นโง่ ๒ ชั้น ๓ ชั้น เพราะว่าคำว่าฉลาดของเรานี่กิเลสมันหลอกใช้ พอมันหลอกใช้มันก็ต้องคิดสิ มันคิดไปว่า สิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ สิ่งที่จับต้องได้มันจับต้องได้ มันพิสูจน์ได้ มันควรจะมีความกำหนัดยินดีมากกว่าสิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมน่ะเป็นนิมิต สิ่งที่เป็นนิมิตนี่มันจะไปคลายความกำหนัดได้อย่างไร เพราะมันเป็นสิ่งที่ว่าจับต้องไม่ได้

แต่นามธรรมมันเกิดจากตรงนั้น ดูอย่างเราพิจารณาขันธ์เข้าไป เห็นไหม ขันธ์นอก ขันธ์ใน ขันธ์ละเอียด ขันธ์ละเอียดเข้าไปถึงกามราคะ ถึงขันธ์ละเอียดภายใน โทสะ โมหะ ตรงนั้นน่ะมันเกิดตรงนั้น ตรงราคะ โทสะ โมหะ มันเกิดจากข้างในที่ว่าเป็นกามราคะ ดูอย่างเราพิจารณากายสิ พิจารณากายพอปล่อยกายนี่ ปล่อยความเห็นผิดเฉย ๆ นะ พิจารณากายนี่ปล่อยความเห็นผิด จะเห็นว่านามธรรมนี่มันละเอียดขนาดไหน ละเอียดตรงที่ว่าสิ่งที่เป็นโทษกับมันคือสิ่งที่เป็นนามธรรมต่างหาก

สิ่งที่เป็นนามธรรม สิ่งที่ว่าปลุกใจให้เร้าใจอยู่ในหัวใจนี่ มันเป็นเรื่องของนามธรรมทั้งหมดเลย มันถึงว่าสิ่งที่เป็นนามธรรมมันถึงจะเข้าไปแก้ตรงนั้นได้ นี่โลกุตตระ มันถึงว่าธรรมะถึงได้ลึกซึ้งละเอียดอ่อนมาก ไม่มีใครสามารถเข้าไปเห็นได้ ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมก่อน เป็นไปไม่ได้เลย มันเป็นเรื่องสิ่งที่เหนือการคาดหมาย เหนือการด้นเดา ธรรมะนี้ถึงเข้าได้ ตรรกะเข้าถึงไม่ได้ ความที่ว่าเราฉลาด ๆ นั่นน่ะ กิเลสความละเอียดอ่อน โทสะ โมหะ ความหลงนี่มันหลอกใช้อยู่

แล้วมันคิดออกมาเป็นข้างนอก เป็นเราคิดเห็นไหม พิจารณากายเข้าไปมันทิ้งตัวตน ทิ้งความเห็นภายนอกเข้าไป แล้วพิจารณาเข้าไป ขันธ์กลางนี่มันจะเห็นว่าความว่างของใจ ความเป็นอุปาทานอยู่ตรงนั้น แล้วพิจารณาถึงขันธ์ละเอียด ขันธ์ละเอียดนี่เป็นนามธรรม แล้วขันธ์ละเอียดที่เป็นนามธรรมนี่ เวลามันขาดไปแล้วก็ยังมีสิ่งที่ละเอียดกว่านั้นขึ้นไปอีก

สิ่งที่นามธรรมนี่มันลึกลับซับซ้อน มันซับซ้อนกันหลาย ๆ ชั้นในหัวใจ แล้วสิ่งที่เป็นนามธรรมนี่มันถึงว่าซ่อนไว้ในหัวใจ มันถึงต้องการเอานามธรรมนี้ไปแก้นามธรรม แต่นามธรรมนี่ถ้าเป็นโลกนามธรรมมันเหมือนกับจับต้องไม่ได้ แต่นามธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่จับต้องได้ จับต้องได้ด้วยมรรคอริยสัจจัง ทำสัมมาสมาธินี่ เอกัคคตารมณ์จิตที่มันเกาะเกี่ยวทุก ๆ อย่าง จิตของเรานี่ตั้งเองไม่ได้เลย มันจะเกาะเกี่ยว มันจะล้มลุกคลุกคลานไป เหมือนน้ำมันต้องอาศัยภาชนะมันถึงทรงตัวได้ ถ้าไม่มีภาชนะ ไปบนดินนี่มันจะซึมซาบไปในดินหมดเลย

อันนี้ก็เหมือนกัน เราคิดวันยังค่ำ คืนยังรุ่ง คิดขนาดไหนก็แล้วแต่ ความคิดนี่มันสะสม คิดได้ทั้งวันทั้งคืน แต่มันไม่เป็นวัตถุที่จะขึ้นไปให้มันเต็มบ้านเต็มเมืองได้ ถ้าเป็นสิ่งของนี่เรากองในบ้านมันจะเต็มบ้านเต็มเมืองเลย ความคิดแล้วคิดเล่า ๆ คิดซื้อรถยนต์ ๒๐ คันมันก็มีที่เก็บนะ แต่ถ้าซื้อจริง ๆ รถยนต์คันเดียวไม่มีที่จอดแล้ว แต่ถ้าเราคิดว่าเรามี ๒๐ คัน ๓๐ คันก็ซ้อน ๆ ๆ ๆ ๆ เข้าไปได้ มันซ้อนอยู่อย่างนั้นนี่นามธรรม มันถึงว่าต้องมีภาชนะเหมือนน้ำ มันคิดแล้วคิดไป

แต่พอมันทำความสงบเข้าไป เห็นไหม นี่สิ่งที่ว่าเป็นนามธรรมแต่จับต้องได้ เป็นเอกัคคตารมณ์จิตนี้จับต้องได้เลย จิตนี้พิสูจน์ได้เลย ความว่าง...ว่างมาก แล้วจิตนี้เป็นจับต้องได้ มันยกขึ้นวิปัสสนาได้ นี่มันจับต้องได้ มันถึงไม่ใช่สิ่งที่ว่ามันจับต้องไม่ได้ แล้วเป็นนามธรรมที่ว่าเราควบคุมไม่ได้ ถ้าสิ่งนี้ควบคุมไม่ได้เราจะควบคุมให้มรรคเดินไปได้อย่างไร เราจะควบคุมให้ความคิดอยู่ในความเห็นของเราได้อย่างไร

ความคิดเห็นไหม ปัญญาในการรอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาในศาสนา ปัญญารอบรู้ในความคิดของตัว ปัญญาควบคุมความคิดของตัวอยู่แล้วมันถึงเป็นสัมมาสมาธิ แล้วมันใช้ปัญญาที่ว่าคิดออกมาอีกทีหนึ่ง สิ่งที่เป็นนามธรรมแต่มันจับต้องได้ แล้วมันพิสูจน์ได้ แล้วมันควบคุมได้ แล้วมันหมุนออกไป ฝึกฝนออกไป เห็นไหม หินลับปัญญา ๆ นี่ กายกับใจนี่ลับปัญญา

สิ่งที่เป็นนามธรรมมันก็ลับปัญญาเข้าไป ๆ จนคมกล้าสามารถชำระเชือดออกไป มันเชือดเลย มันตัด ตัดสิ่งนั้นขาด สิ่งที่เป็นนามธรรมนี้กลับเป็นสิ่งที่ระลึก เป็นสิ่งที่ว่าจับต้องได้ สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ในหลักของศาสนา หลักศาสนา ศาสนธรรมคำสั่งสอนนี่ คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนธรรมมันถึงสำคัญขึ้นมา

แต่แล้วเวลามันก่อเกิดขึ้นมา พยายามสร้างสมในหัวใจขึ้นมา เราพยายามทำบุญกุศล เห็นไหม เราสร้างบุญกุศลขึ้นมานี่ ให้มันมีที่ตั้ง ให้มันมีรูปร่างขึ้นมา มันมีความอุ่นใจไง มีความอุ่นใจ มีความสุขใจ ใจนี่มันเหมือนกับเราหัด ฝึกหัดตีเทนนิสน่ะ พอตีเข้าไปที่กำแพงมันจะเด้งออกมาหาเรา แต่ก่อนนี้มันไม่มีกำแพงน่ะความคิดมันไปตลอด เปิดเปิงไปประสาของมันหมดเลย มันคิดอะไรมันก็ไปของมัน

แต่คราวนี้พอมีทานเข้ามานี่ มีสิ่งที่กระทบ มีบุญกุศลเป็นที่เกาะที่เกี่ยว มีบุญกุศลย้อนกลับมาหาเรา มันมีความสุขตรงนี้ มีความสุขเหมือนกับว่า คนเราไม่ใช่คนร้าง บ้านไม่ใช่บ้านร้าง มีวัตรปฏิบัติ มีเครื่องอยู่อาศัย มีบุญกุศลเป็นเครื่องอยู่อาศัย เราทำคุณงามความดีอยู่ คุณงามความดีมีของเรา นี่มันก่อตั้งขึ้นมาขนาดนั้น คุณงามความดีมันก็เป็นบุญกุศล มีอยู่สะสมอยู่ที่ใจ แล้วถ้าทำไปเรามันคนตาบอดเอง เรามันคนไม่เคยประพฤติปฏิบัติ หรือประพฤติปฏิบัติไม่ถึงหลักของมันเอง เราถึงไม่เห็นสิ่งตรงนี้ไง ถ้าเห็นว่าบุญเป็นที่พึ่ง เป็นที่อุ่นใจอย่างไร

แต่ถ้าพูดถึงผู้ที่ปฏิบัติขึ้นไป มันมีความเห็นเรื่องของใจ มันชำระสะสาง มันเห็นคุณก็เห็นคุณนะ เห็นโทษของกิเลสก็เห็นโทษของกิเลส ถ้าเห็นโทษของกิเลสแล้ววางโทษของกิเลสมันจะเห็นคุณตรงนั้น นี่คุณอันนี้เพราะเรามันสิ่งที่ว่ามันหยาบมาก ถ้าผู้ที่ปฏิบัติมันจะเห็นอันนี้ มันถึงว่าเป็นกุศลอกุศล เป็นคุณเป็นเครื่องดำเนิน เป็นพาหนะ เป็นมรรคอริยสัจจัง เป็นมรรคหยาบ มรรคละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ เป็นชั้น ๆ เข้าไป มันเป็นเหมือนพาหนะให้ใจเราก้าวเดินเข้าไป ชำระกิเลสของเราเป็นชั้น ๆ เข้าไป ในหัวใจของเรานี่

นี่มันถึงสร้างขึ้นมา มันทำได้ มันเห็นได้ นึกย้อนกลับมามันถึงจะเห็นว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่หยาบ ๆ ในหัวใจ สิ่งใดสิ่งที่ละเอียดในหัวใจ ถึงบอกถ้าเราเห็นแต่วัตถุ เราคิดแต่วัตถุ มันเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์นี่สามารถพิสูจน์ศาสนาได้เท่านั้นเอง สามารถพิสูจน์ศาสนาได้คือว่ามีหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ แล้วก็เอาหลักวิทยาศาสตร์นี่เข้าไปจับศาสนา มันถึงได้ศาสนาเป็นรูปธรรมขึ้นมา เราก็ทึ่งในศาสนา เป็นรูปธรรมขึ้นมา

แต่ทึ่งขึ้นมานี่ ผู้ที่ฉลาด เห็นไหม มันโง่ ๒ ชั้น โง่ ๒ ชั้นเพราะอะไร? เพราะมันมรรคหยาบ พอมรรคหยาบนี่มันไม่สามารถก้าวไปสิ่งที่ละเอียดเข้าไป เรารู้เราฉลาดแล้วเรายึดมั่นถือมั่น เหมือนกับเราแบกเหล็กมานี่ ไปเจอทองคำ ไม่ยอมทิ้งเหล็ก เห็นไหม หลักวิทยาศาสตร์นี้ต้องแน่นอน หลักวิทยาศาสตร์ที่ต้องพิสูจน์ได้ด้วยความเห็นของตัว แล้วก็คาอยู่อย่างนั้นน่ะ มันไม่ทิ้งเหล็กแล้วมันจะไปเอาทองคำได้อย่างไรในเมื่อมันแบกเหล็กอยู่เต็มบ่า ถ้ามันทิ้งเหล็กมันก็ได้ทองคำ ทิ้งทองคำมันก็ไปเอาเพชร

นี่เราต้องไม่ฉลาดเกินไป ถ้าเราว่าเราฉลาด ไอ้ความฉลาดนั้นมันหลอกเรา อาจารย์บอกโง่ ๒ ชั้น ๓ ชั้น คนที่ฉลาดคือคนโง่ เพราะเวลาที่ว่าฉลาด ๆ นี่กิเลสมันหลอกใช้ มันเป็นวิชาชีพ เป็นวิชาที่เราหามา เป็นการดำรงชีวิต มันไม่ใช่วิชาธรรม ถ้าเป็นวิชาธรรมนี่ มันต้องยอมโง่ก่อน ศรัทธาความเชื่อเห็นไหม ถ้าเรามีความเชื่อมีความศรัทธามันจะไปเปิดใจให้กว้าง พอเปิดใจให้กว้างนี่มันจะปอกเปลือกผลไม้ แล้วมันจะได้ลิ้มรสของส้ม ลิ้มรสของผลไม้ที่มีรสหวานไง คนโง่กินทุเรียนทั้งเปลือก คนฉลาดกินทุเรียนที่เนื้อของทุเรียน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรายังคิดว่าเราฉลาดอยู่ เราจะขยำทุเรียนนั้นทั้งเปลือกเลย แล้วปากนี่มันจะเลือดออกไปทั้งปาก นี่พูดถึงเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งวัตถุที่จับได้ แต่ในเรื่องของนามธรรมมันจะไม่เห็นอย่างนั้นหรอก มันจะล้มลุกคลุกคลานไป แล้วมันจะไม่ได้ผลของเรา นี่เลือดออก พยายามปฏิบัติไปก็เลือดตกยางออกไปข้างในประสามัน นี่คนฉลาดไง ฉลาดทางวิทยาศาสตร์ ฉลาดนั้นกิเลสพาใช้ กิเลสเอาความฉลาดออกไป มันถึงโง่ ๒ ชั้น ๓ ชั้น เพราะมันจะเข้าไม่ถึงเลย มันจะแบกเหล็กไปอย่างนั้น แบกเหล็กนะ

เหมือนที่พระพุทธเจ้าบอกน่ะ คนเราเกิดมาถือดุ้นฟืนไว้คนละดุ้น แล้วก็บ่นว่าร้อน ๆ ๆ ประพฤติปฏิบัติก็น้อยเนื้อต่ำใจ เราประพฤติปฏิบัติไม่เห็นถึงธรรม ๆ ทำไมเราไม่มีความสุข? ก็ไม่ยอมทิ้งอันนี้ ไม่ยอมทิ้งความเห็นอันเดิมของตัว ไม่ยอมทิ้งความว่าตัวเองฉลาด ถ้ายิ่งตัวเองฉลาดขนาดไหน นั่นน่ะไฟเผาอยู่ตรงนั้น ถ้าทิ้งความฉลาดออกไป เห็นไหม จิตอย่างที่ว่ามันจะเข้าสมาธินี่ มันจะตกใจ มันจะออก

นี่เหมือนกัน ถ้ามันจะเข้ามันจะเข้าตรงนี้ ถ้ามันปล่อยความยึดมั่นถือมั่นของเรา ปล่อยความฉลาดของเรา พอปล่อยความฉลาดของเรา ความฉลาดเรามันคาตัวเราเองเอาไว้ ถ้าความฉลาดนั้นมันหลุดออกไป มันจะเข้าถึงความสงบของใจ นั่นน่ะคนที่ว่าเชื่อโดยความงมงาย งมงายนะ เชื่อพระพุทธเจ้าด้วยความงมงาย จะได้ผล ถ้าคนเชื่อนี่สัทธาจริต เราพุทธจริต เราเป็นพุทธวิสัยมีปัญญามากก็ต้องใคร่ครวญอย่างนี้ พอใคร่ครวญถึงว่าความฉลาดที่ว่าเราฉลาด ๆ นี่เป็นความฉลาดหรือความโง่ ถ้าเข้าใจตรงนั้นแล้วมันจะปล่อยความฉลาดของตัวชั่วครั้งชั่วคราวไง

แล้วเข้าไปเห็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเห็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ชำระกิเลสแล้วจะทึ่งมาก กราบพระพุทธเจ้าด้วยหัวใจ กราบด้วยความศรัทธา กราบด้วยความเคารพทั้งหมดเลยว่า สิ่งสิ่งนี้ใครค้นคิดได้อย่างใด สิ่งสิ่งนี้มันลึกลับมันอยู่ในหัวใจ มันละเอียดอ่อน มันหมุนออกมาได้อย่างไร? มันออกมาได้อย่างไร?

แล้วไม่มีใครเอาสิ่งนี้ออกมาใช้ได้ไง พลังงานในหัวใจที่ประเสริฐเลอเลิศในหัวใจทุก ๆ ดวงใจ มันโดนสิ่งที่ว่าฉลาด ๆ กลบไว้ ปิดไว้ แล้วก็หมกมุ่นไว้ในหัวใจ กดเอาไว้ในหัวใจนั้น แล้วไม่เคยมีใครเอาออกมาใช้เลย แล้วเราทำความสงบเข้าไปนี่ วางไว้ มันเป็นความเห็นคนละมิติ มิติหนึ่งเป็นมิติทางวัตถุนิยม มิติหนึ่งเป็นมิติของจิต เป็นมิติของความเห็นภายใน

แต่มิติอันนั้นสามารถทำได้ แล้วอาศัยอยู่นี่ มันไม่ใช่วัตถุ และไม่ใช่นามธรรมทั้งหมด มันเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ความพอดีไง เพราะเมื่อไม่มีร่างกาย ไม่มีบุญกุศลเลยมันก็สร้างไม่ได้ ความสร้างอันนี้ได้ขึ้นมามันถึงจะเป็นบุญกุศล เป็นความจริงของใจดวงนั้น แล้วใจดวงนั้นจะรู้เองเห็นเองในใจดวงนั้น เอวัง